วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

กุหลับ จามาน

กุหลับ จามาน



กุหลับ จามาน ( Gulab Jamun) ก้อนขนมปังหวานที่คงไม่ถูกปากฝรั่งตาน้ำ ข้าว แต่คอนเฟิร์มว่าอยู่ในรายชื่อขนมอันดับต้นๆ ของชาวอินเดีย และเมื่อมีคนกว่าพันล้านคนชื่นชอบ ก็ยากจะปฏิเสธได้ว่ามันไม่อร่อย ปกติแล้วมักจะทำขึ้น โดยใช้ครีมสองชั้นและราด้วยน้ำเชื่อมเข้มข้น เป็นที่นิยมในอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และประเทศในแถบเอเชียใต้



ส่วนผสม กุหลาบยามุน 
1. นมผงรสจืด 1/2 ถ้วย
2. แป้งอเนกประสงค์ 2 ชต.
3. โยเกิร์ต 2 ชต.
4. กีร์ ถ้าไม่มีเอาเนยรสจืด(ละลายก็ได้) 1 ชต.
5. เบคกิ้งโซดา 1/4 ชต.

น้ำเชื่อม
1. น้ำ 2 ถ้วย
2. กลิ่นกุหลาบ หรือ น่ำกุหลาบ นิดเดียว
3. น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
4. หญ้าฝรั่น 1 หยิบมือ
5. กระวานผง 1 หยิบมือ
6. สุดท้ายน้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำ 
1. เอาแป้ง+เบคกิ้งโซดา ผสมรวมกันก่อน
2. จากนั้นใส่ นมผง
3.จากนั้นค่อยๆใส่ กีร์หรือเนย ทีละนิดนวดกะให้ว่านวดจนเนียน นวดไปเรื่อยๆ มันจะเนียนๆเหนียวๆ
4. จากนั้น เอามาปั้น กลมๆ ลูกขนาดหัวแม่มือ ถ้ามันติดมือให้เอาเนยทามือแล้วปั้น อย่าปั้นใหญ่จนเกินไป เพราะเดียวทอดมันจะเป็น ดับเบิ้ลไซส์
5. จากนั้นทำน้ำตาลตามสูตร เคี่ยวจนเดือดหอมทิ้งให้น้ำเชื่อมอุ่นๆ นะ
6. ได้น้ำเชื่อมแล้วเราก็ เอากุหลาบยามุนที่ปั้นตะกี้ เอามาทอดแบบ Deep
7. ใช้ไฟอ่อนๆ เท่านั้นห้ามไฟแรงเด็ดขาด ทอดจนมันเป็นทีน้ำตาลผมแดง เวลาทอดให้คอยคนตลอดเวลา ห้ามผละหนีไปไหนเลยล่ะ ที่นี้มีเคล็ดลับก็คือ เวลาทอด กุหลาบยามุนชุดแรกแล้วเนี่ยน้ำมันจะร้อนจัดมาก ซึ่งถ้าน้ำมันร้อนจัดจะทำให้กุหลาบยามุนเนี่ย ด้านในแข็งและจะเสียไปเลย ดังนั้นพอทอดชุดแรกเสร็จ ให้ปิดไฟทอด ชุด 2 ซักพักค่อนติดไฟใหม่ ครับ พอทอดได้แล้วเอามาพักให้สะเด็ดน้ำมันจนหายร้อน ค่อยเอาไปแช่ในน้ำเชื่อมที่เราเตรียมไว้ให้อุ่นๆแล้่ว เคล็ดลับอีกเช่นกัน ห้ามใส่ตอนน้ำเชื่อมร้อนจัด หรือใส่กุหลาบลงน้ำเชื่อมตอนทอดเสณ้จใหม่ๆ เพราะจะกลายเป็นกุหลาบยามุนต้มค่ะห้เราแช่กุหลาบยามุนทิ้งไว้ 45 นาที กุหลาบยามุนจะดูดน้ำเชื่อมจนนิ่มนุ่มทั้งชิ้น พอมันดูดน้ำเชื่อมจนเต็มที่แล้ว ให้เอาแยกออกจากน้ำเชื่อมแช่ตู้เย็น ครับ กินเย็นๆค่ะ คนอิเดียจะกินคู่กับชาหรือไอติมรสวานิลลา หรือ จะเอาถวายเทพทางฮินดูก็ได้ เอาทองเปลวแต่งหน่อยก็สวย


ฮาโล ฮาโล

ฮาโล ฮาโล(Halo Halo)




ฮาโล ฮาโล ( Halo Halo) จานเด็ดของชาวฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ไข่บาลุท แต่รับประกันได้ว่าไม่น่าสะอิดสะเอียน ทั้งนี้ ฮาโล ฮาโล ไม่มีสูตรการทำที่แน่นอน แต่ดูๆไปก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งใสของบ้านเรา โดยนำน้ำแข็งบดมาเติมด้วยเครื่องเคียง เช่น ถั่วเขียว ลูกตาล ขนุน มะพร้าวอ่อน ไอศกรีม วุ้นมะพร้าว สับปะรด และอื่นๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการราดนมข้นหวานและน้ำเชื่อม โดยสามารถหารับประทานได้ทุกที่ในกรุงมะนิลา




ส่วนผสม Halo Halo:

kaong (ผลปาล์มหวาน), macapuno (มะพร้าวอ่อนนุ่ม),Langka (ขนุน) munggo (ถั่วเขียว) สะบ้า (กล้ากล้วยเหมือน), อุเบะ (มันเทศสีม่วง), mais (ข้าวโพด), วุ้นมะพร้าว(มะพร้าวเจลาติน) , pinipig (แห้งข้าวทุบ), สาคู (ไข่มุกคล้ายกับของ boba)

วิธีการสร้าง Halo-Halo

รวม kaong (ผลปาล์มหวาน), macapuno (มะพร้าว),Langka (ขนุน) และสีแดง munggo (ถั่วเขียว) ในแก้ว Parfait ส่วนผสมที่เป็นไปได้อื่น ๆ ที่มีชิ้นของสะบ้า (ดง), chunks ของ ube (สีม่วงมันเทศ), mais (ข้าวโพด), วุ้นมะพร้าว (มะพร้าวเจลาติน) และ pinipig (ข้าวแห้งทุบ)


ชั้นนำที่มีน้ำแข็งโกน, นมระเหยและตักไอศครีมให้แน่ใจว่าจะรัศมี (ผสม) อย่างละเอียดก่อนที่ขุดมามีการผสมสารพัดเหล่านั้นทั้งหมดที่ด้านล่างโดยไม่ หกไอศครีมและน้ำแข็งออกจากกระจกเป็นทักษะที่จำเป็นต้องได้รับการปล่อยตัวโดย เฉียบคมปกติ! 








แครมบูเล่

แครมบูเล่




แครมบูเล่(Creme Brulee)  เคมบริจด์เป็นต้นตำรับที่คิดค้นสูตรขนมนี้ขึ้นมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 1600


ขนมชนิดนี้ หรือที่เรียกว่า คัสตาสด์เย็นๆ โรยด้วยน้ำตาลไหม้ เปรียบได้กับหอไอเฟลที่ประดับไปด้วยไฟสว่างไสวในยามค่ำคืนในกรุงปารีส  เป็นขนมที่ไม่มีส่วนผสมที่ซับซ้อนอะไร รสชาติหอมวานิลลาตัดด้วยรสชาติขมนิดๆ ของน้ำตาลไหม้ด้านบน



ส่วนผสม 
• ครีม 2 ถ้วย 
• น้ำตาลทราย ¼ ถ้วย 
• วานิลลาพอด 1 ฝัก หรือ กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา 
• ไข่แดง 3 ฟอง 
• น้ำตาลโรยหน้า 4 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
• เปิดเตาอบที่ 150 องศาเซลเซียส 
• ต้มน้ำตาลกับครีมเข้าด้วยกันจนร้อนพอเดือด ถ้าใส่ฝักวานิลลาก็ต้มไปด้วยเลย แต่ถ้าใช้กลิ่นวานิลลาก็ใส่หลังสุดค่ะ 
• ในชามอ่าง คนไข่แดงให้แตกก่อนใส่ครีมเดือดลงไป ค่อยๆ ใส่ครีมแล้วรีบคน จากนั้นกรองหนึ่งรอบ ก่อนเทใส่ถ้วยกระเบื้อง
• นำถ้วยกระเบื้องวางบนถาดสี่เหลี่ยมที่มีความลึก เพราะในการอบครีมบลูเล่ ต้องมีการอังน้ำด้วยค่ะ นำถาดสี่เหลี่ยมที่มีถ้วยกระเบื้อง เข้าเตาอบ
• จากนั้นค่อยเทน้ำเดือดลงในถาด 
• อบประมาณ 30 นาทีจนกระทั่งเซ็ทตัว 
• นำออกมาพักให้เย็น แล้วแช่ตู้เย็นอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
• โรยน้ำตาล แล้ว burn ด้วย kitchen torch ถ้าไม่มีก็เปิดเตาอบไฟบน ไฟกริล ให้น้ำตาลไหม้


พาย แอบเปิ้ล

พาย แอบเปิ้ล



แอปเปิ้ล พาย (Apple pie ) ถึงแม้ ว่าชื่อจะฟังดูเป็นอเมริกัน แต่จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดจากเมืองผู้ดี โดยได้รับการคิดค้นขึ้นเมื่อ      
ปี 1381 และปกติจะอบด้วยแป้งสองชั้น

ในสมัยก่อน ตอนที่ชาวอังกฤษอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา พวกเขาได้นำเมล็ดแอปเปิลมาปลูกด้วย จึงทำให้มันมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมของชาวมะกัน แต่ไม่ว่าจะที่โรงแรมในลอนดอนหรือภัตตาคารในแอลเอ แอปเปิลพายก็เป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาลูกค้าเหมือนกัน


ขนมชั้น

ขนมชั้น


ขนมชั้น เป็นขนมไทยโบราณที่ใช้ในงานพิธีมงคล โดยมีความเชื่อว่าจะต้องหยอดขนมให้ได้ 9 ชั้น จึงจะเป็นศิริมงคลเจริญก้าวหน้าแก่เจ้าภาพ



ส่วนผสมของขนมส่วนใหญ่จะเป็นกะทิ และน้ำตาล แป้ง 3 - 4 ชนิด แล้วแต่สูตรและความชอบเนื้อขนมในแต่ละแบบ ซึ่งแป้งแต่ละอย่างก็จะมีคุณสมบัติทำให้ขนมมีเนื้อต่างกัน


โดย แป้งมัน จะทำให้เนื้อขนมเนียน นุ่ม เหนียว หนืด ดูใสเป็นมัน
แป้งท้าว จะทำให้เนื้อขนมเนียน เหนียว แข็ง แต่จะใสน้อยกว่าแป้งมัน
แป้งข้าวเจ้า จะทำให้เนื้อขนมแข็ง และอยู่ตัว
แป้งถั่วเขียว จะทำให้ขนมอยู่ตัว ไม่เหนียวมากเกินไป


วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ขนมเสน่ห์จันทน์

"ขนมเสน่ห์จันทน์"


เสน่ห์จันทน์

จันทน์” เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ผลสุกมีลักษณะสวยงาม สีเหลืองปลั่ง กลิ่นหอม 

คนโบราณจึงนําความมีเสน่ห์ของผลจันทน์มาประยุกต์ทําเป็นขนม ที่มีส่วนผสมของแป้ง กะทิ ไข่ น้ําตาล และผงลูกจันทน์ป่น มากวนรวมกันนํามาปั้นเป็นลูกจันทน์ผลเล็ก ๆ หอมกลิ่นลูกจันทน์ป่นอ่อน ๆ หวาน หอมมัน จากกะทิ และให้ชื่อว่า 
"ขนมเสน่ห์จันทน์"

โดยเชื่อว่าคําว่าเสน่ห์จันทน์เป็นคําที่มีสิริมงคล จะทําให้มีเสน่ห์คนรักคนหลงดังเสน่ห์ของผงจันทน์ ขนมเสน่ห์จันทน์จึงถูกมาใช้ประกอบในงานพิธีมงคลสมรส

เป็นยังไงกันบ้างล่ะค่ะ พอได้ทราบถึงความหมายของเสน่ห์จันทน์ ต่อไปเราก็ไปดูส่วนผสมกัน

ส่วนผสม
1. แป้งข้าวเหนียว 1/2 ถ้วยตวง
2. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง 
3. หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง 
4. น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
5. ไข่ไก่ 2 ฟอง 
6. ผงจันป่น 1/2 ช้อนชา 
7. สีผสมอาหารสีเหลือง

วิธีทำ
1. ผสมแป้งทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน
2. ผสมหัวกะทิกับน้ำตาล ละลายแล้วกรองผสมแป้งกับกะทิ และผงจันป่นสีเหลือง
3. ตั้งไฟอ่อน กวนจนจับกัน 
4. ไข่ไก่ใช้แต่ไข่แดง ใส่ขณะแป้งร้อน รีบคนให้เข้ากัน ยกลง 
5. พอขนมอุ่นปั้นได้ ให้ปั้นเป็นรูปผลจัน ตรงขั้วผลใช้น้ำตาลเคี่ยวสีน้ำตาลหยอด



ข้อแนะนำในการทำ
1. ส่วนนี้ปั้นได้ประมาณ 30 – 40 ลูก ลูกขนาดน้ําหนักประมาณ 10 กรัม
2. ถ้ากะทิมันเกินไปเนื้อขนมจะไม่เนียน ปั้นยาก
3. ถ้าแป้งเริ่มจับตัวเป็นก้อนต้องหรี่ไฟกวน โดยใช้ไฟอ่อน ๆ จะทําให้ได้ขนมเนื้อเนียนเป็นเงาสวยไม่แห้งแข็ง
4. ควรปั้นขณะที่ขนมยังอุ่นอยู่จะทําให้ปั้นง่าย



ขนมจ่ามงกุฏ


วันนี้เรามาพูดถึงขนมไทยโบราณ ที่จัดว่าเป็นขนมมงคลกันบ้าง !!!

"ขนมจ่ามงกุฏ"



ขนมจ่ามงกุฏ เป็นขนมไทยโบราณที่หารับประทาน ได้ยากใช้เวลาในการทำนานสมัยโบราณจัด ป็นขนมในราชสำนักเป็นเครื่องเสวยสำหรับ ถวายพระเจ้าแผ่นดินดังพระราชนิพนธ์กาพย์เห่ ชมเครื่องคาวหวานในรัชกาลที่2กล่าวถึงขนม จ่ามงกุฎว่า
"งามจริงจ่ามงกุฎใส่ชื่อดุจ มงกุฎทองเรียมร่ำคำนึงปองสะอิ้งน้องนั้นเคยยล "

ขนมจ่ามงกุฏ  มักใช้ในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ สมัยก่อนขนมจ่ามงกุฏนิยมทำกันมากในโอกาสที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ เนื่องจากชื่อของขนมจ่ามงกุฏเป็นชื่อที่เป็นมงคลและมีความหมายที่ดี นั่นคือ หัวหน้าผู้ซึ่งเป็นใหญ่ แต่ด้วยวิธีทำที่ค่อนข้างยุ่งยาก ปัจจุบัน จึงเป็นขนมที่ค่อนข้างหาทานได้ยากและจะถูกมอบให้เฉพาะบุคคลที่ได้รับการยกย่องจริงๆ เท่านั้น


เป็นอย่างไรบ้างคะ ความหมายไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เมื่อทราบความหมายกันแล้วก็มาลองดูส่วนผสมและวิธีทำกันบ้าง





ส่วนผสม
1.  เม็ดแตงโม แกะแล้ว 1/2 ถ้วย
2. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
3. น้ำดอกมะลิ 1 ถ้วย 
4. ทองคำเปลวแท้ 2 แผ่น 
5. แป้งสาลี 1 ถ้วย 
6. ไข่แดงของไข่ไก่ 3 ฟอง

วิธีทำ
1. เชื่อมน้ำตาล โดยใช้น้ำตาลกับน้ำดอกมะลิตั้งไฟให้เดือด กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วตั้งไฟต่ออีก 5 นาที
2. ล้างขัดกระทะทองเหลืองให้สะอาดเป็นเงา ตะแคงข้างหนึ่ง คั่วเม็ดแตงโมโดยใช้มือจุ่มลง ในน้ำเชื่อม แล้วกวาดไปมา จนน้ำตาลแห้งแล้ว  ใช้มือจุ่มน้ำเชื่อม ทำเช่นนี้ต่อไป จนน้ำตาลเกาะเป็นหนามติดเม็ดแตงโมพองาม เก็บใส่ภาชนะอย่าให้อากาศเข้า 
3. ระหว่างที่กวาดเม็ดแตงโมอยู่นั้น ต้องตะแคงกระทะและใช้ ผ้าขาวบางเช็ดกระทะให้สะอาดอยู่เสมอ 
4. นวดแป้งกับไข่แดงจนนิ่มมือ ถ้ายังแห้งอยู่จึงเติมน้ำ แล้ว คลึงแป้งเป็นแผ่นบาง ๆ กดให้กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร นำแผ่นแป้งที่ตัดแล้ว ใส่ในถ้วยตะไล ใช้มือ กดเบา ๆ ให้เป็นรูปก้นถ้วยตะไล ใช้ส้อมจิ้มให้ทั่วจึงเอาไป อบพอสุกกลายเป็นแป้งรองขนม
5. การทำมงกุฎ ให้เอาน้ำตาลทรายใส่หม้อเล็ก ๆ ใส่น้ำนิด หน่อย ตั้งไฟอ่อน ๆ พอน้ำตาลละลายเอาเม็ดแตงโมที่ กวาดไว้แล้วลงจุ่มให้น้ำตาลติดกับแป้งที่อบไว้รอบ ๆ
6. ปั้นทองเอกกลม ๆ วางตรงกลาง ใช้มีดปลายแหลมผ่าเป็น 6 พู เหมือนผลมะยม แล้วปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ เท่าเม็ดถั่วเขียววางบนยอดขนมที่ผ่าไว้ ใช้ทองคำเปลวตัดเป็นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก 

**กลเม็ด เคล็ดลับ ทองคำเปลว ต้องแน่ใจว่าเป็นของแท้ เพราะถ้าเป็นของปลอมจะอันตรายมากเพราะมีสารตะกั่ว**




                                                                                                     อ้างอิง: http://www.isaansmile.com/



ขนมไหว้ตรุษจีน

"ซินเจีย อี่ ซินนี่ฮวดไช้" ประโยคคุ้นหูที่เรามักได้ยินในช่วง "เทศกาลตรุษจีน"  วันสำคัญของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ที่เป็นเสมือนวันขึ้นปีใหม่ของจีนนั่นเอง โดย ตรุษจีน 2557 นี้ ตรงกับวันที่ 31 มกราคม 2557 ซึ่งในวันที่ 30 มกราคม ก่อนวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ 1 วัน มีพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยอาหารคาวหวานนานับชนิด ว่าแต่ของหวานไหว้ตรุษจีนมีอะไรบ้างล่ะ??

มารู้จักถึงขนมไหว้ตรุษจีนกันเถอะ !!!

1. ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต
ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์



2. ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์



3. ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต



4. ขนมถ้วยฟู คือ ความรุ่งเรือง เฟื่องฟู



5. ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค โดย หมั่นโถว มีแบบที่ทำจากหัวมัน เนื้อออกสีเหลือง และแบบไม่ผสมมัน เนื้อออกสีขาว นิยมทำให้แตกเหมือนดอกไม้บาน ถ้าลูกเล็กจะแต้มจุดแดง ลูกใหญ่จะปั๊มตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า ฮก แปลว่า โชคดี ส่วนถ้ามีไส้ เรียก "ซาลาเปา" นิยมไส้เต้าซา แป้งไม่ผสมมัน หน้าไม่แตก มีตัวหนังสือปั๊มว่า เฮง แปลว่าโชคดี                                                              





6. จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกประเภท ประกอบด้วยขนม 5 อย่าง คือ เต้ายิ้งปัง คือ ขนมถั่วตัด, มั่วปัง คือ ขนมงาตัด, ซกซา คือ ถั่วเคลือบน้ำตาล, กวยแฉะ คือ ฟักเชื่อม และโหงวจ๊งปัง คือ ขนมข้าวพอง




วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

ทีรามิสุ

หลากหลายที่มาของ ทีรามิสุ ขนมหวานสไตล์อิตาเลียน

ของหวานไสตล์อิตาเลียนที่ทุกคนต่างเคยลิ้มลอง แล้วติดอกติดใจกันเลยทีเดียว!!!

"Tiramisu" เป็นภาษาอิตาเลียน ที่มีความหมายว่า "Pick me up" มีความหมายทำนองว่า "Make me feel brand new" เพราะทิรามิสุเป็นเค้กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน จาก ไข่ไก่และน้ำตาล  อีกทั้งยังมีคาเฟอีนในปริมาณที่สูง จึงทำให้ผู้ที่ได้ลองลิ้มชิมรสรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูกไปเลย  หรืออาจจะแปลในอีกความหมายนึงได้ คือ "เลือกฉันซิ" เอาเป็นว่าตักทานทีไร เผลอแป๊บเดียวหมด


ที่มาของทิรามิสุที่ใกล้เคียงมากที่สุดคือ  เกิดขึ้นในสมัยเรอเนซองส์ ที่เมืองเซียน่า  แคว้น ทัสคานี ซึ่งอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี  โดยได้มีผู้ปรุง "ซุปปาเดลดุคา" (แปลว่า ซุปท่านดยุค) ขึ้นถวาย Grand Duke Cosimo de'Medici III (มหาดยุคโคซิโมเดเมซี) และท่านดยุคได้นำกลับมาที่เมืองฟลอเรนซ์

ในศตวรรษที่ 19 ซุปปาเดลดุคา เป็นที่นิยมมากในหมู่ปัญญาชนและศิลปินชาวอังกฤษ ซึ่งพักอาศัยที่ฟลอเรนซ์ในขณะนั้น กลุ่มคนดังกล่าวเรียก ซุปปาเดลดุคา อีกอย่างว่าzuppa Inglese "ซุปปาอินกลีส" เมื่อพวกเขากลับอังกฤษก็ได้นำซุปปาอินกลีส กลับไปด้วย ต่อมาก็เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปในอังกฤษ



มีเรื่องเล่าว่า บรรดาสตรีในราชสำนักของเวนิส ชื่นชอบทิรามิสุมาก ด้วยเหตุว่า Tiramisu แปลตามตัวได้ว่า pick me up ( คุ้นเคย สนิทสนม - ใช้ในกรณี make love) ซึ่งพวกเธอใช้เป็นรหัสลับเมื่อแอบพบกับชายชู้ บางทีนี่อาจไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็ทำให้ประวัติ ทิรามิสุ มีสีสันขึ้นในอเมริกานั้น ทิรามิสุ เริ่มแพร่หลายใน เมืองซานฟรานซิสโก และปัจจุบันนี้ ทิรามิสุ ได้กลายเป็นเป็นส่วนหนึ่งในเมนู ของร้านอาหารหลายร้านทั่วประเทศ



วัตถุดิบหลักของทิรามิสุ นั่นคือ  Mascarpone เป็นชีสชนืดหนึ่ง รสชาติออกมันๆ อมเปรี้ยวนิดๆที่ปลายลิ้น กลิ่นหอมครีมนม มีไขมันเนยสูงถึง 65-75% เลยทีเดียว หากเป็นครีมชีสทั่วไปจะมีไขมันอยู่แค่ 25-40 %ทิรามิสุ (tiramisu) ขนมหวานสัญชาติอิตาเลียน กำลังเป็นที่นิยมในบ้านเรา ด้วยเนื้อขนมนุ่มเบาและ รสเฉพาะตัวของชีสมาสคาโปเน่(Mascapone)กับวิปปิ้งครีมตัดกับรสเข้มของขนมปังsavoiardi เลดี้ฟิงเกอร์(Lady finger)ที่ชุ่มด้วยกาแฟดำ  อร่อยอย่างลงตัวพอดิบพอดี




                                                                                                        ที่มา: http://www.foodietaste.com/

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

มาการอง

ขนมมาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่มีต้นกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศส มีส่วนประกอบหลักของ Almond น้ำตาล และไข่ขาว มีลักษณะคล้ายคุ้กกี้ชิ้นเล็กสองอันประกบกันมีไส้ตรงกลาง มีสีสันสดใส กรอบนอกนุ่มใน สอดไส้ตรงกลางด้วยกานาช (Ganache) มีหลายรสชาติ เช่น ช็อกโกแลต สตรอเบอร์ รี่ วานิลลา อัลมอนด์ หรือผลไม้ตามฤดูกาล เป็นต้น และมักนิยมทานคู่กับชา หรือ กาแฟ


มาการอง เป็นที่รู้จักครั้งแรกในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมัยนั้นข้าวยากหมากแพง เนื้อสัตว์ โปรตีนไม่มีให้รับประทานมากมายนัก เหล่าแม่ชีชาวอิตาเลียนที่อพยพมายังประเทศฝรั่งเศสจึงดำรงชีพอยู่ด้วยอัลมอนด์ เพราะมีคุณค่าทางอาหารไม่แพ้เนื้อสัตว์ โดยนำมาประกอบเป็นอาหารหรือขนมหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ ขนมจากอัลมอนด์ ซึ่งมากลายเป็นของหวานที่ชาวฝรั่งเศสชื่นชอบมาจนถึงปัจจุบัน


สเน่ห์ของมาการองไม่ได้อยู่ที่สีสันสดใสเท่านั้น ว่ากันว่ามาการองที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่รูปร่างคล้ายกับโดมแบน ๆ มองดูจากด้านบนเป็นวงกลม ผิวด้านบนของขนมเรียบมันจากความละเอียดของอัลมอนด์บด ส่วนที่สำคัญคือ “Foot” บางตำราเรียก ”Skirt” รอยหยักคล้ายลูกไม้ชายกระโปรงที่บางกรอบ ซึ่งมีวิธีการทำที่ยุ่งยากพอควร อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ กลิ่นหอมหวาน เคล็ดลับอยู่ที่หลังจากนำมาการอง 2 ชิ้นมาประกบกันแล้ว ต้องเก็บไว้ในที่เย็น 1 คืน เพื่อให้ไส้รสชาติต่าง ๆ ซึมซาบเข้าสู่ชั้นของคุกกี้ นอกจากนี้ความชื้นจากไส้ยังทำให้มากาฮองมีความนุ่มหนึบเวลาเคี้ยวอีกด้วย


คณลักษณะของมาการองที่ดี จะต้องมีรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่างไส้กานาชและเนื้อคุกกี้ ส่วนสูงที่สมดุลของตัวคุกกี้ชิ้นบนและล่างที่มีขนาดเท่า ๆ กัน รวมทั้งไส้ที่บีบพอดีขอบให้เห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ ตลอดทั้งชิ้น